วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติส่วนตัว


ชื่อ: นางสาวภรณ์ชนันท์ นามสกุล: ธรรมถิระพัฒน์
ชื่อเล่น: เอ็ม
อายุ: 22 ปี
กรุ๊ปเลือด: A
เกิดวันที่: 20 กรกฎาคม 2530
ศาสนา: พุทธ
ประวัติการศึกษา: มัธยมปลาย สิรินธร อ.เมือง จ.สุรินทร์
ระดับปริญญาตรี ที่ มหาลัยราชภัฏสวนสุนันทา คณะวิทยาการจัดการ สาขานิเทศศาสตร์(วารสารศาสตร์)
บุคลิกส่วนตัว:ร่าเริง แจ่มใส มีมนุษยสัมพันธ์ดี
อาชีพที่ใฝ่ฝัน: กองบรรณาธิการนิตยสาร
ความสามารถพิเศษ: พูดภาษาญี่ปุ่นได้เล็กน้อย
ย่ามว่าง: ดูหนัง,ฟังเพลง,เล่นอินเตอร์เน็ต
กีฬาที่ชอบ: แบตมินตัน
สีที่ชอบ: สีฟ้า,สีขาว,สีเหลือง(เปลี่ยนไปตามอารมณ์)
อาหารที่ชอบ: ต้มยำรวมมิตร และยำทุกชนิด
คติประจำใจ: ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน
อีเมล์: hanami_eiei@hotmail.com

ได้อะไรจากสังคมออนไลน์ในยุคนี้

ฉันคิดว่า สิ่งที่ได้นั้น ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ว่าจะแสวงหาแต่สิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ หรือไปในด้านที่ไม่ดี ไร้สาระ นอกจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้อีกด้วย ว่าจะใช้เพื่ออะไร?
สิ่งที่ได้จากกลุ่มสังคมออนไลน์ โดยรวม มีดังนี้



ด้านสังคม เป็นการเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน ซึ่งเป็นความสวยงามที่สุดของอินเทอร์เน็ต Hi5 อย่างบางคนมี "เพื่อน" เป็นหลักหมื่นหลักแสนอยู่ในไซเบอร์ Space ทำให้คนมีตัวตนอยู่ได้บนไซเบอร์ Space เพราะจะต้องแสดงความเป็นตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อทำให้ Profile น่าสนใจ และมีชีวิตชีวาที่สุด บ้างก็เน้นไปที่การใส่ข้อมูลเนื้อหา Blog รูปถ่ายในชีวิตประจำวัน เรื่องราวเพื่อนคนใกล้ตัว บ้างก็เน้นไปที่ลูกเล่นใส่ Glitter หรือตัววิ๊ง ๆ เข้าไป สุดท้ายทำให้เชื่อได้ประมาณหนึ่งว่า มีตัวตนอยู่จริงบนโลกมนุษย์


ด้านการตลาด เป็นอีกช่องทางในการโฆษณา ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยัน ความฮอตฮิต และความแรงของการโฆษณาบน Social Network (กลุ่มสังมออนไลน์) การใช้เงินกับสื่อประเภทนี้ยังคงมีการเติบโตที่สูงมากขึ้นได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ด้านการเมือง เป็นการหาเสียงทางการเมืองในรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มการสื่อสารระหว่างคนหลายชุมชน และทั่วถึง ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดก็ตาม เพื่อประชาชนจะได้มีส่วนรวมแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้อย่างมีสิทธิเสรีกันมากขึ้น


ด้านการเมือง ดังตัวอย่างการใช้สื่อสมัยใหม่ในแข่งขันการเลือกตั้งที่มีส่วนทำให้โอบามาชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 44 ซึ่ง Micah Sifry ผู้ร่วมก่อตั้งบล็อกการเมืองออนไลน์ของสหรัฐฯนาม techpresident.com พูดถึงเรื่องนี้ว่า ทั้งหมดเป็นผลมาจากโอบามามีความเข้าใจเรื่องพลังแห่งเครือข่าย ที่เขาสร้างมาเพื่อสนับสนุนแคมเปญของตัวเอง โดยมองว่า โอบามาเข้าใจเรื่องการดึงพลังขององค์กรอิสระที่จะสามารถสนับสนุนแคมเปญของเขาเองด้วย นอกจากนี้ David Almacy ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายในทำเนียบขาวตั้งแต่เดือนมีนาคม 2005 ถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2007 มองว่า โอบามาเข้าใจแนวคิดการสื่อสารระหว่างชุมชนออนไลน์ตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้โอบามาเน้นการส่งข้อความ Twitter แทนที่จะตรวจหน้า Facebook อย่างเดียวทุกวัน และความเข้าใจพลังเรื่องการสื่อสารระหว่างคนหลายชุมชนนี้เองที่ทำให้โอบามาทำแคมเปญได้ดีกว่าแม้คู่แข่งจะใช้กลยุทธ์หาเสียงออนไลน์เช่นเดียวกัน


ข้อมูลอ้างอิง: http://ngnforum.ntc.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=76&Itemid=48

กระแสกับค่านิยม ของวัยรุ่นไทย ที่ต้องตระหนัก!!

ฉันคิดว่า กระแสการท่องโลกออนไลน์ที่เสมือนจริงนั้น ปัจจุบันวัยรุ่นมักใช้ไปในทางที่ผิดๆ เพราะวัยรุ่นส่วนใหญ่มักใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่างเช่น เป็นแหล่งมั่วสุมอบายมุข ค้าขายประเวณีต่างๆ จนเกิดเป็นค่านิยมที่ผิดๆ เนื่องจากโลกไซเบอร์นั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลาย มาพูดคุย แลกเปลี่ยน เพื่อหาประสบการณ์ บางคนอาจจะเหงา อยากมีเพื่อนคุย หรือบางคนต้องการพูดคุยเพื่อหวังผลตอบแทนในแบบต่างๆ แม้ว่าจะในแบบใดก็ตาม กลุ่มสังคมออนไลน์ก็มักจะเห็นเป็นข่าว เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังที่เป็นข่าวในปัจจุบัน
ตัวอย่างปัญหาการ “เล่นไลน์ ขายวิว” หรือ การโชว์เรือนร่างผ่านแชตและเว็บแคม (web camera) แลกเงิน ที่กำลังระบาดอยู่บนโลกไซเบอร์ทุกวันนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวขององค์ประกอบทางสังคมได้อย่างชัดเจนไม่แพ้ภัยในรูปแบบอื่นๆ



จากการสัมภาษณ์เด็กไทยคนหนึ่งที่ตกเป็นข่าวในการมั่วสุมอบายมุขของกลุ่มสังคมออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต โดยมี คุณ จิรา บุญประสพ โปรดิวเซอร์รายการหลุมดำ บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้เข้าไปสัมผัสกับเด็กและเยาวชนผู้ตกอยู่ในวังวนด้านมืดของอินเทอร์เน็ต จากการทำรายการตอน “ห้องแชท ห้องโชว์ จ้ำบ๊ะออนไลน์ ในชุมชนไซเบอร์สเปซ” ว่า เด็กสาวที่ขายวิว ส่วนใหญ่เป็นคนน่าสงสารมาก และเหตุผลที่ต้องเป็นอย่างนี้ก็เป็นผลพวงมาจากความแตกแยกในครอบครัว ทำให้เด็กรู้สึกไม่มีใคร เหงา ไม่มีคนสนใจ ไม่มีใครเห็นค่าในตัวเขา ทำให้ต้องไปแสวงหาจากที่อื่นซึ่งก็คืออินเทอร์เน็ต โลกที่สามารถทำอะไรก็ได้ จะเป็นใครก็ได้ มีเพื่อนเข้ามาคุยด้วยทั้งวัน ทีมงานหลุมดำ
ผู้เข้าไปคลุกคลีกับเด็กและปัญหานี้ เล่าต่อว่า บางคนเริ่มต้นจากห้องแชตธรรมดา ใสๆ แต่เมื่อเข้าไปลึกขึ้น ไปเจอห้องเกี่ยวกับเซ็กส์ที่มีคนอื่นๆ โชว์เรื่องพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว ก็รู้สึกว่าคนในนั้นมีความสำคัญ เพราะมีคนอื่นๆ ให้ความสนใจ จึงอยากเข้าไปอยู่ตรงนั้นบ้าง และเมื่อเข้าไปอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว ถามว่าในโลกแห่งความเป็นจริงเขามีเพื่อนไหม ปรากฏว่าเขากลายเป็นคนที่ปฏิสัมพันธ์กับใครไม่เป็น หลายคนพยายามที่จะเดินออกมาจากโลกอินเทอร์เน็ต แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะสุดท้ายก็เหงา และต้องเดินกลับเข้าไปอีก เพื่อนในอินเทอร์เน็ตเองก็เป็นคนในลักษณะเดียวกัน จึงไม่มีใครสามารถดึงใครขึ้นมาได้
ความเหงา ความเดียวดาย และห่างเหินจากพ่อแม่ไม่ได้กระทบเพียงด้านจิตใจและผลักพวกเขาเข้าสู่โลกมายาเท่านั้น หากสิ่งหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องและสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ เรื่องของการเรียนรู้และวิจารณญาณของวัยรุ่นอีกด้วย

ข้อมูลอ้างอิง : http://www.backtohome.org/autopagev4/print_in.php?idp=topic&topic_id=173&auto_id=3

Social Network ให้ประโยชน์หรือให้โทษกันแน่??

ฉันคิดว่า Social Network (สังคมออนไลน์) ให้ทั้งประโยชน์และโทษ กล่าวคือ ถ้าผู้ใช้ ใช้ไปทางที่ควร ที่ถูกต้อง ก็จะเกิดประโยชน์ เช่น
ประการแรก คือ เราสามารถใช้เว็บเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารข้อความต่างๆ ไม่ว่าของตนเองหรือขององค์กรออกไปยังคนกลุ่มหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาดแต่อย่างใด บางคนก็เรียกเป็นกลยุทธ์ปากต่อปาก หรือ Viral Marketing ที่เมื่อเราโพสต์ข้อความบางประการลงไปในเว็บสังคมออนไลน์เหล่านี้ คนจำนวนมากที่เป็น "เพื่อน" ของเราหรือติดตามเราอยู่ ก็จะได้รับข้อมูลเหล่านั้น และถ้าข้อความดังกล่าวมีความน่าสนใจ ข้อความดังกล่าวก็จะถูกสื่อสารต่อออกไปเรื่อยๆ
ประการที่สอง นอกจากจะเป็นสื่อในการส่งข้อความแล้ว เรายังสามารถใช้เว็บสังคมออนไลน์เป็นที่ที่แสดงความคิดเห็น ในการตั้งกระทู้ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับองค์กรที่เราทำงาน เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่เราใช้ หรือเกี่ยวกับการเมือง ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข่าวสารดีๆ เพื่อให้คนที่เข้าไปอ่านเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันอีกด้วย
แต่ถ้าใช้ไปในทางที่ไม่ดี ก็จะทำให้เข้าเข้าข่ายในเรื่องของภัยอินเตอร์เน็ตได้แบบไม่รู้ตัว ผู้คนในสังคมออนไลน์มักจะใช้สื่อในทางที่ผิด หรือค่านิยมตามๆกันมา อย่างที่เห็นๆกันคือ ใช้เพื่อการหลอกลวงหรือล่อลวงไปในทางการล่วงประเวณีหรือข่มขืนกระทำชำเรา และเป็นที่ประกาศขายบริการทางสังคมออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ทั้งนั้น ดังนั้นผู้ใช้และผู้ที่รับเคราะห์จากปัญหาซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชน ที่ยังไม่รู้เรื่อง ยังไม่มีประสบการณ์ ที่อยู่ในโลกเสมือนจริงใบนี้ ต้องเรียนรู้ และต้องมีวิจารณญาณในการใช้สื่อประเภทนี้ให้ดี เพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อให้กับผู้ที่ไม่หวังดี นอกจากนี้ยังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมที่ยังแก้ ไม่ตกสักที ในเรื่องของภัยอินเตอร์เน็ต

ข้อมูลอ้างอิง : http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2009q3/2009august11p3.htm

ที่มา Social Network (กลุ่มสังคมออนไลน์)

จุดเริ่มต้นของสังคมออนไลน์เกิดขึ้นจากเว็บไซต์ Classmates.com
เมื่อปี 1995 และเว็บไซต์SixDegrees.com ในปี 1997 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จำกัด
การใช้งานเฉพาะนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนเดียวกัน เพื่อสร้างประวัติ ข้อมูลการ
สื่อสาร ส่งข้อความ และแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สนใจร่วมกันระหว่างเพื่อน
นักเรียนในลิสต์เท่านั้น ต่อมาในปี 1999 เว็บไซต์ epinions.com ที่พัฒนา
โดย Jonathan Bishop ก็ได้มีการเพิ่มฟังก์ชั่นในส่วนของการที่ผู้ใช้สามารถ
ควบคุมเนื้อหาและติดต่อถึงกันได้ ไม่เพียงแต่เพื่อนในรายชื่อเท่านั้น



ประเภทของ Social Network


1. Identity Network เผยแพร่ตัวตน เช่น Hi5, MySpace, Facebook เป็นต้น
ใช้สำหรับนำเสนอตัวตน และเผยแพร่เรื่องราวของตนเองทางอินเตอร์เน็ทสามารถ
สร้างอัลบั้มรูปของตัวเอง สร้างกลุ่มเพื่อน และสร้างเครือข่ายขึ้นมาได้


2. Creative Network เผยแพร่ผลงาน เช่น YouTube,Flickr, Multiply เป็นต้น
สามารถนำเสนอผลงานของตัวเองได้ในรูปแบบของวีดีโอ ภาพ หรือเสียงเพลง


3. Interested Network ความสนใจตรงกัน เช่น del.icio.us, Digg, Zickr เป็นต้น
del.icio.us เป็น Online Bookmarking หรือ Social Bookmarking โดยเป็นการ Bookmark เว็บที่เราสนใจไว้บนอินเทอร์เน็ตสามารถแบ่งปันให้คนอื่นดูได้และยังสามารถบอกความนิยมของเว็บไซด์ต่างๆได้ โดยการดูจากจำนวนตัวเลขที่เว็บไซต์นั้นถูก Bookmark เอาไว้จากสมาชิกคนอื่นๆ
Digg นั้นคล้ายกับ del.icio.us แต่จะมีให้ลงคะแนนแต่ละเว็บไซด์ และมีการ Comment ในแต่ละเรื่อง
Zickr ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคนไทย เป็นเว็บลักษณะเดียวกับ Digg แต่เป็นภาษาไทย


4. Collaboration Network ร่วมกันทำงาน คือเป็นการร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์หรือส่วนต่างๆของซอฟต์แวร์ เช่น WikiPedia ,Google Maps เป็นต้น
WikiPedia เเป็นสารานุกรมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่รวบรวมความรู้ ข่าวสาร และเหตุการณ์ต่างๆ ไว้มากมาย
ปัจจุบันเราสามารถใช้ Google Maps สร้างแผนที่ของตัวเอง หรือจะแบ่งปันแผนที่ให้คนอื่นได้ใช้ด้วย จึงทำให้มีสถานที่สำคัญ หรือสถานที่ต่างๆ ถูกปักหมุดเอาไว้ พร้อมกับข้อมูลของสถานที่นั้นๆ ไว้แสดงผลจากการค้นหา


5. Gaming/Virtual Reality โลกเสมือน เช่น SecondLife ,World WarCraft
ตัวอย่างของโลกเสมือนนี้ มันก็คือเกมส์ออนไลน์นั่นเองครับ SecondLife เป็นโลกเสมือนจริง สามารถสร้างตัวละครโดยสมมุติให้เป็นตัวเราเองขึ้นมาได้ ใช้ชีวิตอยู่ในเกมส์ อยู่ในชุมชนเสมือน (Virtual Community) สามารถซื้อขายที่ดิน และหารายได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ ได้


6. Peer to Peer (P2P) เช่น Skype, BitTorrent เป็นต้น
P2P เป็นการเชื่อมต่อกันระหว่าง Client (เครื่องผู้ใช้, เครื่องลูกข่าย) กับ Client โดยตรง โปรแกรม Skype จึงได้นำหลักการนี้มาใช้เป็นโปรแกรมสนทนาผ่านอินเตอร์เน็ต และก็มี BitTorrent เกิดขึ้นมาเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการแบ่งปันไฟล์ต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว แต่ทว่ามันก็ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์